มะเร็งผิวหนังชนิด Basal Cell Carcinoma

มะเร็งผิวหนังชนิด Basal Cell Carcinoma

ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา
                    ศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง
ภาควิชาตจวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

1. อุบัติการณ์แนวโน้มทั้งในประเทศและระดับโลก
            มะเร็งผิวหนังชนิด
Basal Cell Carcinoma นี้ เป็นมะเร็งผิวหนังชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ในชาวตะวันตกซึ่งมีผิวขาว สามารถพบได้ถึง 30% ของประชากรทั้งหมด สำหรับอุบัติการณ์ในประเทศไทยจะพบน้อยกว่านี้

2. ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค
            ปัจจุบันนี้พบโรคมะเร็งผิวหนังได้บ่อยมากขึ้น สาเหตุเกิดจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจัยส่งเสริมให้เกิดมะเร็งผิวหนังมีดังนี้
                        - โรคทางพันธุกรรมบางโรค
                        - คนผิวขาว หรือคนเผือก
                        - แสงแดด
                        - สารเคมี เช่น สารหนู (
Arsenic)
                        - ไวรัสหูด (
human papilloma virus)   บางชนิด
                        - แผลเรื้อรัง
                        - การได้รังสีรักษา
                        - ภาวะภูมิต้านทานต่ำ
                        - การสูบบุหรี่

3. อาการและอาการแสดง
            พบในผู้ป่วยทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า
50 ปีขึ้นไป ลักษณะเป็นตุ่มผิวเรียบ ขอบจะมันวาว บางครั้งขอบอาจมีขนาดเล็กเท่าเส้นด้าย และอาจมีหลอดเลือดฝอยเล็กๆ ที่ผิวในคนไทยตุ่มมักมีสีดำหรือสีน้ำตาลปะปนมากน้อยแตกต่างกัน บางรายอาจมีแผลแตกตรงกลางรอยโรค ขยายกว้างออกช้าๆ ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือศีรษะและลำคอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จมูก ลักษณะเด่นของมะเร็งผิวหนังชนิดนี้มักมีสีน้ำตาลหรือดำ ล้อมรอบด้วยขอบมันวาว ยกและม้วนเข้า

4. การวินิจฉัย
            การวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังชนิดนี้สามารถทำได้โดยตัดชิ้นเนื้อบางส่วน หรือทั้งหมดของรอยโรคเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
            1. การตรวจเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
                        ไม่มี
            2. การรักษา
                        การผ่าตัด
            การผ่าตัดมะเร็งผิวหนังชนิดนี้ทำได้
2 วิธี วิธีแรกคือการผ่าตัดตามวิธีมาตรฐาน ในกรณีที่มะเร็งผิวหนังขนาดเล็กกว่า 6 มิลลิเมตร จะทำการผ่าตัดเพื่อเอามะเร็งผิวหนัง และผิวหนังปกติที่อยู่รอบเนื้อมะเร็งผิวหนังอีกอย่างน้อย 4 มิลลิเมตรโดยรอบ แต่ในกรณีที่มะเร็งผิวหนังมีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร จะต้องทำการผ่าตัดเอาผิวหนังปกติออกอย่างน้อย 6 มิลลิเมตรโดยรอบ
            วิธีผ่าตัดวิธีที่สองคือการผ่าตัดด้วยวิธี
Mohs Micrographic Surgery วิธีการผ่าตัดแบบนี้จะมีอัตราการหายจากมะเร็งผิวหนังสูงถึง 97-99.8% วิธีการผ่าตัดวิธีนี้จะใช้เวลานานกว่าการผ่าตัดปกติ เนื่องจากมะเร็งผิวหนังที่ถูกตัดออกไปจะถูกนำมาตรวจทางพยาธิวิทยาทันที เพื่อให้แน่ใจว่ามะเร็งผิวหนังได้ถูกตัดออกหมดก่อนทำการเย็บปิดแผลผ่าตัด

            3. การให้ยาเคมีบำบัด
            การให้ยาเคมีบำบัดสำหรับมะเร็งผิวหนังชนิดนี้จะเป็นการทายา
5-fluorouracil หรือ 5% Imiquimod แต่สามารถใช้ได้กับมะเร็งผิวหนังชนิดที่อยู่ตื้น ๆ เท่านั้น

4. การให้รังสีรักษา
            จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เช่น ในผู้ป่วยอายุมาก ที่มีโรคประจำตัว หรือมะเร็งผิวหนังที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้

            5. การรักษาอื่น ๆ (ถ้ามี)
            การรักษาวิธีอื่น ๆ เช่น การพ่นความเย็น การจี้ไฟฟ้า และ
photodynamic therapy สามารถใช้ได้ในกรณีที่มะเร็งผิวหนังเป็นชนิดตื้น หรือมีจำนวนมากจนไม่สามารถทำการผ่าตัดออกได้ทั้งหมด

5. การติดตามผลการรักษา
         
ผู้ป่วยควรมารับการตรวจติดตามผลการรักษาทุก 6 เดือน เพื่อประเมินการกลับเป็นซ้ำ หรือการมีมะเร็งผิวหนังเกิดขึ้นใหม่ในตำแหน่งอื่นอีก
         
1. การตรวจคัดกรอง
         
กรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรมารับการตรวจโดยแพทย์ผิวหนังอย่างน้อยปีละ
1 ครั้ง เมื่อพบรอยโรคที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรส่งรอยโรคทางผิวหนังดังกล่าว เพื่อรับการตรวจทางพยาธิวิทยาต่อไป


เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด