เทคโนโลยีช่วยการนอนกรน (ตอนที่ 2)

เทคโนโลยีช่วยการนอนกรน (ตอนที่ 2)

 

รศ. นพ. ปารยะ  อาศนะเสน

สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้

          ภาควิชาโสต  นาสิก  ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

2. เทคโนโลยีการแก้ปัญหาโดยวิธีผ่าตัด (surgical treatment)

 จุดประสงค์ของการผ่าตัดคือ เพิ่มขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนให้กว้างขึ้น  และแก้ไขลักษณะทางกายวิภาคที่ผิดปกติ   ซึ่งนำไปสู่การอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้อาการนอนกรน และ/หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับลดลง มีข้อบ่งชี้ คือ
      
1. มีความผิดปกติทางกายวิภาค (anatomical abnormalities) ที่เป็นสาเหตุ   ทำให้เกิดอาการนอนกรนและ/หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เช่นมีเนื้องอกในจมูก, เยื่อบุจมูกบวมมาก, เพดานอ่อน หรือลิ้นไก่ยาว, ต่อมทอนซิล หรือต่อมอดีนอยด์โต, โคนลิ้นโต และอาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับมีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวและสังคมมาก เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงมาก,   เสียงกรนรบกวนคู่นอนมาก ทำให้นอนไม่หลับ, มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับระบบต่างๆของร่างกาย
       
2. ล้มเหลวจากการรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัด    เช่น มีปัญหาในการใช้เครื่อง CPAP  หรือเครื่องมือทางทันตกรรม หรือไม่อยากใช้  โดยผู้ป่วยยังมีอาการกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอยู่  หลักการคือแพทย์จะหาสาเหตุ และตำแหน่งของการอุดกั้นทางเดินหายใจ  ซึ่งสามารถทำได้โดยอาศัยการตรวจร่างกายทางหู คอ จมูก และการตรวจเพิ่มเติมโดยใช้กล้องส่องตรวจในระบบทางเดินหายใจส่วนบน (upper airway endoscopy)   ซึ่งจะช่วยบอกตำแหน่ง และสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนได้ และให้การรักษาตามตำแหน่ง และสาเหตุนั้น ได้แก่

        2.1) การใช้คลื่นความถี่วิทยุ  (radiofrequency volumetric tissue reduction : RFVTR) เป็นการนำเข็มพิเศษ เข้าไปในเนื้อเยื่ออ่อนที่อุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เยื่อบุจมูก  เพดานอ่อน   ต่อมทอนซิล  โคนลิ้น (รูปที่ 3) เพื่อส่งคลื่นความถี่สูง ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนให้แก่เนื้อเยื่อรอบๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียสภาพ และการตายของเนื้อเยื่อ ขึ้นภายใน 1-2 เดือน   หลังจากนั้นจะเกิดเนื้อเยื่อพังผืด  เกิดการหด และลดปริมาตรของเนื้อเยื่อ   วิธีนี้สามารถลดขนาดเนื้อเยื่อต่างๆที่อุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น  ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น  อาการนอนกรนและ/หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับลดลง   ผลของการลดขนาดของเนื้อเยื่อดังกล่าวจะเห็นชัดเจนใน 4-6 สัปดาห์  นอกจากนั้นอาจใช้คลื่นความถี่วิทยุผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่หย่อนยาน บริเวณลิ้นไก่และเพดานอ่อนออกทีละน้อยได้ด้วย ในรายที่อาการนอนกรนมีสาเหตุมาจากการอุดกั้นระดับเพดานอ่อนและลิ้นไก่   การใช้คลื่นความถี่วิทยุนี้สามารถใช้เป็นการรักษาเสริมกับการผ่าตัดชนิดอื่นๆ หรือการแก้ปัญหาโดยวิธีที่ไม่ผ่าตัดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา   วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจระดับจมูก, เพดานอ่อน, ต่อมทอนซิล และ/หรือโคนลิ้น และเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหานอนกรนธรรมดา หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งมีความรุนแรงตั้งแต่ระดับน้อยถึงรุนแรง  
ข้อดี คือปริมาณความร้อนที่เนื้อเยื่อได้รับจะต่ำกว่าการใช้เลเซอร์   จึงทำให้อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อยกว่าการใช้เลเซอร์   วิธีนี้สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่  ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล   อาจทำซ้ำได้อีก ถ้าผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ  วิธีนี้ง่ายในการทำ  ผลข้างเคียงน้อยและได้ผลดี  การผ่าตัดชนิดนี้เป็นการผ่าตัดผ่านทางช่องจมูก และปาก   ผู้ป่วยจึงไม่มีบาดแผลใดๆ ที่มองเห็นได้จากภายนอก
ข้อเสีย คือ ต้องใช้เครื่องมือในการผ่าตัด จึงอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง และต้องใช้เวลานาน (4-6 สัปดาห์) กว่าจะเห็นผลของการผ่าตัดชัดเจน และถ้าเนื้อเยื่ออ่อนที่อุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนมีขนาดใหญ่ หรือโตมาก เช่นเพดานอ่อนหนามาก หรือโคนลิ้นมีขนาดโตมาก อาจต้องทำผ่าตัดซ้ำหลายครั้ง กว่าจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้ เช่นเลือดออกจากแผลผ่าตัด, การหายใจลำบากจากการบวมของเนื้อเยื่อรอบๆ บริเวณผ่าตัด  หรือแผลผ่าตัดติดเชื้อ  แต่พบได้น้อย      

         2.2) การฝังพิลลาร์ (Pillar) เข้าไปในเพดานอ่อน (รูปที่ 4) เป็นการสอดแท่งเล็กๆ 3 แท่ง (ขนาดยาว 1.8 เซนติเมตร และ กว้าง 2 มิลลิเมตร) ซึ่งทำมาจากโพลิเอสเตอร์อันอ่อนนุ่ม ซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์ชนิดที่สามารถสอดใส่ในร่างกายมนุษย์ได้อย่างถาวร และปลอดภัย ฝังเข้าไปในเพดานอ่อนในปาก (ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก) ด้วยเครื่องมือช่วยการใส่ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ  โดยไม่ได้ตัดหรือทำลายเนื้อเยื่อของเพดานอ่อน  พิลลาร์จะช่วยลดการสั่นสะเทือน หรือการสะบัดตัวของเพดานอ่อน และพยุงไม่ให้เพดานอ่อนในปากปิดทางเดินหายใจได้โดยง่าย และเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเยื่อของเพดานอ่อน รอบๆจะตอบสนองต่อแท่งพิลลาร์ โดยการเกิดพังผืด (fibrosis) ช่วยเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ทางด้านโครงสร้างของเพดานอ่อนในปากมากขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น หายใจได้สะดวกขึ้น   และอาการนอนกรน และ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับน้อยลง โดยไม่รบกวนการพูด, การกลืน หรือการทำงานปกติของเพดานอ่อน  วิธีนี้จะได้ผลในผู้ป่วยที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจระดับเพดานอ่อนเท่านั้น เช่น เพดานอ่อนยาวกว่าปกติ   ผู้ป่วยที่เพดานอ่อนมีความยาวไม่มาก เช่น น้อยกว่า 2.5 เซนติเมตร หรือผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่า 18 ปี ไม่ควรใช้วิธีนี้ และเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหานอนกรนธรรมดา หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่มีความรุนแรงน้อย  ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบนตำแหน่งอื่น เช่น จมูก หรือโคนลิ้นร่วมด้วย  อาจทำให้ผลการรักษาโดยใช้พิลลาร์อย่างเดียวไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  นอกจากจะให้การรักษาจุดอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนตำแหน่งอื่นๆ ดังกล่าวร่วมด้วย  วิธีนี้สามารถใช้เป็นการรักษาเสริมกับการผ่าตัดชนิดอื่นๆ หรือการแก้ปัญหาโดยวิธีที่ไม่ผ่าตัดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา   
ข้อดี ของวิธีนี้คือ สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่  ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล  วิธีนี้ง่ายในการทำ   ผลข้างเคียงน้อย และได้ผลดี  การรักษาชนิดนี้เป็นการทำผ่านทางช่องปาก   แพทย์จะใส่เครื่องมือทางช่องปาก  ผู้ป่วยจึงไม่มีบาดแผลใดๆ ที่มองเห็นได้จากภายนอก  อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อยกว่าการใช้มีด, แสงเลเซอร์ หรือคลื่นความถี่วิทยุผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่, การใช้สารเคมีฉีดบริเวณเพดานอ่อน เนื่องจากเป็นเพียงการสอดแท่งเล็กๆเข้าไปในเพดานอ่อน ไม่ได้ตัดหรือทำลายเนื้อเยื่อของเพดานอ่อน จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบๆ น้อยกว่า    การรักษาจะเสร็จสมบูรณ์ในครั้งเดียวและใช้เวลาไม่นานในการทำ  หลังการรักษา ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร และทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
ข้อเสีย คือ พิลลาร์มีราคาแพง จึงอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง และต้องใช้เวลานาน (6-12 สัปดาห์) กว่าจะเห็นผลชัดเจน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้ เช่นเลือดออกจากแผลผ่าตัด, การหายใจลำบากจากการบวมของเนื้อเยื่อรอบๆ บริเวณผ่าตัด, แผลผ่าตัดติดเชื้อ, การหลุดออกมาของแท่งพิลลาร์ จากเพดานอ่อน ซึ่งอาจหลุดหรือโผล่ออกมาบางส่วน หรือทั้งหมด และอาจสำลักลงหลอดลม หรือลงไปในหลอดอาหารได้  แต่พบได้น้อย

ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีอุปกรณ์ใหม่ๆ หรือตัวช่วยอย่างอื่นออกมาอีกหรือไม่ คืออะไร

            - เครื่องมือกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 (upper airway stimulation therapy) (รูปที่ 5)  เครื่องมือกระตุ้นเส้นประสาท (neurostimulator) นี้ เป็นเครื่องมือที่ผลิตโดยอาศัยเทคโนโลยีของเครื่องกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ (cardiac pacemakers) และเครื่องมือกระตุ้นเส้นประสาท (neuro-stimulation) เพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ กระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 ผ่านทางสายกระตุ้นเส้นประสาท  โดยจะมีตัวรับสัญญาณการหายใจเข้า-ออกอยู่ที่ผนังทรวงอก ซึ่งตัวรับสัญญาณและตัวปล่อยกระแสไฟฟ้านั้น ทำงานสัมพันธ์กับสรีรวิทยาของร่างกายผู้ป่วย ในการหายใจแต่ละรอบ   ขณะผู้ป่วยนอนหลับ เมื่อมีทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้น จะมีการลดการกระตุ้นต่อกล้ามเนื้อของทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่ออ่อนในทางเดินหายใจหย่อนตัว อุดกั้นทางเดินหายใจ   ผู้ป่วยที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจระดับหลังโคนลิ้นนั้น เมื่อมีการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อลิ้น genioglossus ซึ่งเลี้ยงโดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 จะทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวหดตัว ทำให้ลิ้นมีการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทำให้ทางเดินหายใจระดับหลังโคนลิ้นกว้างขึ้น
ข้อดี ของวิธีนี้คือ ไม่ต้องผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปหน้าหรือโครงสร้างทางกายวิภาคของผู้ป่วยอย่างถาวร
ข้อเสีย คือ ผู้ป่วยไม่ควรอยู่ใกล้เครื่องมือที่สามารถปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้  เครื่องมือมีราคาแพง จึงอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง   และต้องดมยาสลบในการทำผ่าตัด  ผู้ป่วยจะมีแผลผ่าตัดทั้งหมด 3 แผลด้วยกัน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้ เช่น เลือดออกจากแผลผ่าตัด, แผลผ่าตัดติดเชื้อ, รู้สึกไม่สบายตรงที่มีสาย หรือเครื่องอยู่ หรือรู้สึกไม่สบาย เวลาเครื่องทำงานกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12  ผู้ป่วยอาจมีเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 ทำงานผิดปกติชั่วคราว  ทำให้ลิ้นมีการอ่อนแรง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 2-4 สัปดาห์  ผู้ป่วยอาจเจ็บลิ้น มีแผลด้านล่างของลิ้น ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นให้ลิ้นมีการเคลื่อนไหว และอาจไปสัมผัสกับฟันล่าง ซึ่งผลข้างเคียงนี้มักจะดีขึ้น หลังจากผู้ป่วยคุ้นเคยกับเครื่อง และมีการปรับการกระตุ้นแล้ว       

       - ที่ปิดจมูกสำหรับรักษาอาการนอนกรนและ/หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (nasal expiratory positive airway pressure)  (รูปที่ 6)  ที่ปิดจมูกนี้ ใช้ตอนกลางคืนขณะหลับ ปิดที่รูจมูกทั้ง 2 ข้าง โดยยึดติดด้วยเทปกาว มีช่องเปิด (microvalve) เล็กๆ ให้ลมผ่านได้เวลาหายใจเข้า  ขณะหายใจเข้าช่องเปิดเล็กๆนี้จะเปิด ทำให้อากาศผ่านเข้ามาสู่จมูกได้อย่างอิสระ แต่ขณะหายใจออกช่องเปิดเล็กๆนี้จะปิด แต่อากาศที่หายใจออกจะผ่านทางรูเล็กๆ 2 รู เพื่อเพิ่มความต้านทาน ทำให้เกิดความดันบวกในทางเดินหายใจส่วนต้นขณะหายใจออก (expiratory positive airway pressure: EPAP) ช่วยทำให้ทางเดินหายใจกว้าง ไม่ตีบแคบ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของการหายใจออก ซึ่งเป็นช่วงที่ทางเดินหายใจส่วนต้นมีการตีบแคบมากที่สุดก่อนจะเกิดภาวะหยุดหายใจ  จนกระทั่งผู้ป่วยเริ่มหายใจใหม่
ข้อดี ของวิธีนี้คือ มีขนาดเล็ก สามารถพกพาไปได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาเดินทาง จึงไม่ต้องนำ CPAP หรือเครื่องมือทันตกรรมไปใช้ระหว่างเดินทาง
ข้อเสีย คือ ผู้ป่วยไม่ควรใช้ในภาวะที่มีการอักเสบหรือการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน (เช่น จมูกอักเสบ, ไซนัสอักเสบ หรือหูชั้นกลางอักเสบ) และยังไม่มีการศึกษาถึงความปลอดภัย และประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี, ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์  ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ ปากแห้ง, คอแห้ง, ริมฝีปากแห้ง, น้ำมูกไหล, คัดจมูก, รู้สึกอึดอัดในจมูก, ไซนัส,  และอาจมีเลือดกำเดาไหล  ผู้ป่วยอาจแพ้ส่วนประกอบใดๆ ของเครื่องมือชนิดนี้ ทำให้มีผื่น, แผลรอบๆ จมูกได้
  

      การแก้ปัญหาโดยวิธีไม่ผ่าตัด หรือวิธีผ่าตัด ไม่ได้ทำให้อาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจหายขาด  เมื่อผู้ป่วยไม่ได้ใส่เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม หรือ nasal EPAP  เวลาผู้ป่วยนอนก็จะกลับมามีปัญหานอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเหมือนเดิม หรือแม้ผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัด หลังผ่าตัดอาการนอนกรนและ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอาจยังเหลืออยู่ หรือ มีโอกาสกลับมาใหม่ได้ ดังนั้นผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ได้แก่
            - ต้องควบคุมน้ำหนักตัวให้ดี อย่าให้เพิ่ม เนื่องจากใส่เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม, nasal EPAP หรือการผ่าตัดเป็นการขยายทางเดินหายใจที่แคบให้กว้างขึ้น  ถ้าน้ำหนักเพิ่ม  ไขมันจะไปสะสมอยู่รอบผนังช่องคอ ทำให้ทางเดินหายใจแคบมากขึ้น (ในกรณีใช้เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม หรือ nasal EPAP)  หรือกลับมาแคบใหม่ได้ (ในกรณีผ่าตัด) ซึ่งจะทำให้อาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับกลับมาเหมือนเดิม หรือแย่กว่าเดิมได้
            - ต้องหมั่นออกกำลังกายเสมอ ให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนตึงตัวและกระชับ เนื่องจากเมื่ออายุผู้ป่วยมากขึ้น เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนจะหย่อนยานตามอายุ  ทำให้ทางเดินหายใจแคบมากขึ้น (ในกรณีใช้เครื่อง CPAP, เครื่องมือทันตกรรม หรือ nasal EPAP)  หรือกลับมาแคบใหม่ได้ (ในกรณีผ่าตัด) การออกกำลังกายแบบแอโรบิค อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การหย่อนยานดังกล่าวช้าลง ในผู้ป่วยบางราย อาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ และหลายตำแหน่ง ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีช่วยแก้ไขจุดใดจุดหนึ่งเพียงอย่างเดียว อาจไม่ช่วยแก้ไขอาการให้ดีขึ้นมากนัก อาจต้องแก้ไขทางเดินหายใจที่แคบส่วนอื่นๆร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดอุดกั้นทางเดินหายใจและความรุนแรงของโรค การรักษาที่เหมาะสมนั้น นอกจากขึ้นกับสาเหตุและตำแหน่งที่ตรวจพบแล้ว ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในผู้ป่วยแต่ละรายด้วย เช่น สุขภาพโดยทั่วไปของผู้ป่วย ภาวะแทรกซ้อนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีผลต่อระบบต่างๆของร่างกาย   โรคประจำตัว   สภาพเศรษฐานะและสังคมของผู้ป่วย เป็นต้น  

ดังนั้นเมื่อบุคคลในบ้านของท่านหรือตัวท่านเอง มีหรือสงสัยว่ามีอาการนอนกรน และ/หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรรีบปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อวินิจฉัย หาสาเหตุของโรค ประเมินความรุนแรง และพิจารณาแนวทางรักษาที่เหมาะสมต่อไป  เทคโนโลยีปัจจุบันช่วยท่านได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลดี ท่านก็ต้องช่วยดูแลตัวเองด้วย


เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด