การใช้คลื่นความถี่วิทยุในการรักษาโรคจมูกอักเสบเรื้อรัง
การใช้คลื่นความถี่วิทยุในการรักษาโรคจมูกอักเสบเรื้อรัง
(radiofrequency volumetric tissue reduction : RFVTR)
รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน
สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง เกิดจากเยื่อบุจมูกไวผิดปกติ เมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น เช่น ของฉุน ฝุ่น ควัน การเปลี่ยนแปลงของอากาศ จะทำให้ผู้ป่วยมี อาการ คัน, จาม, คัดจมูก, น้ำมูกไหล และเสมหะลงคอ ส่วนใหญ่ การหลีกเลี่ยง ร่วมกับการใช้ยารับประทาน และยาพ่นจมูก จะสามารถบรรเทาอาการต่างๆดังกล่าวได้ แต่ในผู้ป่วยบางรายแม้จะหลีกเลี่ยงและใช้ยาอย่างเต็มที่แล้ว แต่อาการต่างๆดังกล่าวไม่ดีขึ้น หรือไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นดังกล่าวได้ หรือไม่ต้องการใช้ยา การใช้คลื่นความถี่วิทยุเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาให้อาการต่างๆดังกล่าวดีขึ้นได้
การใช้คลื่นความถี่วิทยุ ในการรักษาโรคจมูกอักเสบเรื้อรัง เป็นการผ่าตัดที่นิยมทำในการรักษาอาการคัน, จาม, คัดจมูก, น้ำมูกไหล และ เสมหะลงคอ เนื่องจากโรคจมูกอักเสบเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา โดยเป็นการนำเข็มพิเศษ เข้าไปในเนื้อเยื่อบุจมูก เพื่อส่งคลื่นความถี่สูง (radiofrequency) ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนให้แก่เนื้อเยื่อรอบๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียสภาพ และการตายของเนื้อเยื่อ (coagulation necrosis) ขึ้นภายใน 1-2 เดือน หลังจากนั้นจะเกิดเนื้อเยื่อพังผืด เกิดการหด และลดปริมาตร (volume contraction) ของเยื่อบุจมูกที่อุดกั้นโพรงจมูก ทำให้โพรงจมูกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกขึ้น นอกจากนั้นคลื่นความถี่สูงได้ไปทำลายเส้นประสาท และต่อมสร้างน้ำมูก ทำให้อาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล และ เสมหะลงคอลดลงด้วย ปริมาณความร้อนที่เยื่อบุจมูกได้รับจะต่ำกว่าการใช้เลเซอร์ ซึ่งจะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบๆ น้อยกว่า ดังนั้นทำให้อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัด น้อยกว่าการใช้เลเซอร์ผ่าตัดลดขนาดเยื่อบุจมูก และในรายที่มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง เนื่องจากผนังกั้นช่องจมูกคดนั้น อาจลองใช้คลื่นความถี่วิทยุในการรักษาอาการคัดจมูกก่อน เพราะอาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัด น้อยกว่าเช่นกัน ถ้าอาการคัดจมูกไม่ดีขึ้น จึงพิจารณาการผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นช่องจมูกคดต่อไป ได้มีการศึกษาผลของ คลื่นความถี่วิทยุในรายที่มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง พบว่าคลื่นความถี่วิทยุสามารถลดอาการคัดจมูกได้ดี และผลนั้นยังคงอยู่นานถึง 1 ปี
วิธีนี้สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ผลของการลดอาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล และ เสมหะลงคอดังกล่าวจะเห็นชัดเจนใน 4-6 สัปดาห์ อาจทำซ้ำได้อีก ถ้าผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ วิธีนี้ง่ายในการทำ ผลข้างเคียงน้อยและได้ผลดี การผ่าตัดชนิดนี้เป็นการผ่าตัดผ่านทางช่องจมูก แพทย์จะใส่เครื่องมือทางช่องจมูก ผู้ป่วยจึงไม่มีบาดแผลใดๆ ที่มองเห็นได้จากภายนอก การผ่าตัดชนิดนี้ควรทำเมื่อผู้ป่วยมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่เป็นหวัดหรือมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน
ก่อนผ่าตัด การผ่าตัดชนิดนี้สามารถทำได้โดยการใช้ยาชาเฉพาะที่ แพทย์จะตรวจความสมบูรณ์ของร่างกายผู้ป่วยก่อนผ่าตัด เช่นการตรวจเลือด ผู้ป่วยสามารถมาโรงพยาบาลวันที่นัดทำผ่าตัดได้เลย ในบางรายแพทย์อาจแนะนำให้นอนในหอผู้ป่วยหลังผ่าตัด 1 คืน เพื่อสังเกตอาการเลือดออกหลังผ่าตัด การใช้ยาชาเฉพาะที่ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม หูอื้อ แต่อาการเหล่านี้มักหายได้เอง
หลังผ่าตัด
1. ผู้ป่วยจะมีแผลที่เยื่อบุจมูกและวัสดุห้ามเลือดภายในโพรงจมูกหลังรับการรักษา อาจมีอาการเจ็บจมูกจากแผลผ่าตัดเล็กน้อย อาจมีน้ำมูกหรือ น้ำลายปนเลือดออกมาได้บ้างเล็กน้อย
2. ผู้ป่วยอาจจะมีไข้ หรือมีอาการบวม หรือรู้สึกติดๆ ขัดๆ ตึงๆ คล้ายมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในโพรงจมูก หรือมีเสียงเปลี่ยนได้ ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
3. หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก เยื่อบุจมูก อาจบวมมากขึ้นได้ ทำให้มีอาการคัดจมูกมากขึ้นได้ อาจต้องหายใจทางปาก ดังนั้นจึงควรนอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน หรือนอนบนที่นอนที่สามารถปรับความเอียงได้ อมและประคบน้ำแข็งบ่อยๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก (ประคบที่หน้าผาก หรือคอ) เพื่อลดอาการเลือดออก บริเวณที่ทำผ่าตัด
4. ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด ยาลดบวม ยาลดอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ผู้ป่วยควรจะรับประทานยาดังกล่าวให้หมด ไม่ว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่ก็ตาม ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เมื่อจำเป็นได้
5. ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงๆ การแคะจมูกหรือการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก การออกแรงมาก การเล่นกีฬาที่หักโหม หรือยกของหนัก หลังผ่าตัดภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้มีเลือดออกจากแผลที่เยื่อบุจมูกได้ ถ้าจะจามควรให้ลมออกทางปาก ถ้ามีเลือดออกจากจมูก ควรนอนพัก ยกศีรษะสูง หยอดยาหยอดจมูกห้ามเลือดที่แพทย์สั่งไว้ให้ 3-4 หยดในโพรงจมูกแต่ละข้าง นำน้ำแข็งหรือ cold pack มาประคบบริเวณหน้าผากหรือคอ อมน้ำแข็งเพื่อให้เลือดหยุด การประคบหรืออมน้ำแข็ง ควรประคบหรืออมประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออก ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยประคบหรืออมใหม่เป็นเวลา 10 นาที ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ถ้าเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที
6. หลังผ่าตัด 48 ชั่วโมงแรก ควรล้างทำความสะอาดจมูกและแผลผ่าตัดด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดสะเก็ดแผลซึ่งเกิดจากน้ำมูกไปเกาะที่แผลบนเยื่อบุจมูก เพราะจะทำให้แผลหายช้า ควรล้างวันละ 2 ครั้งอย่างน้อย ในวันหยุดควรล้างเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 3-4 ครั้ง ถ้าล้างแล้ววัสดุห้ามเลือดออกมาไม่ต้องตกใจ ให้ล้างต่อได้ ยกเว้นถ้าเลือดออกมาก ควรหยุดล้างและปฏิบัติตามข้อ 5 ถ้าล้างแล้ววัสดุห้ามเลือดไม่ออกมา แพทย์จะเอาออกให้ในวันนัด
7. โดยปกติ หลังผ่าตัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ แผลที่เยื่อบุจมูกจะหายเป็นปกติ เยื่อบุจมูกจะลดขนาดลง อาการคัดจมูก คัน จาม น้ำมูกไหล เสมหะลงคอจะดีขึ้นหลังการทำผ่าตัด ประมาณ 4-6 สัปดาห์ ถ้าอาการดังกล่าวไม่ดีขึ้น จนเห็นได้ชัดภายในระยะเวลาดังกล่าว อาจต้องรับการรักษาซ้ำอีก จนกว่าอาการดังกล่าวจะดีขึ้น
ภาวะแทรกซ้อน โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้คือ เลือดออกจากแผลผ่าตัด ซึ่งถ้าออกมากจะต้องไปทำการห้ามเลือดในห้องผ่าตัด การหายใจลำบาก คัดจมูกจากการบวมของเนื้อเยื่อรอบๆ บริเวณผ่าตัด หรือแผลผ่าตัดติดเชื้อ แต่พบได้น้อย ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้หลังผ่าตัดโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ยกเว้นบางรายที่แพทย์เห็นสมควรให้นอนพัก การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องภายหลังการผ่าตัดมักทำให้การผ่าตัดรักษาได้ผลดี
การนัดตรวจหลังออกจากโรงพยาบาล แพทย์จะนัดมาดูแผล ประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด