โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ตอนที่ 3
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ตอนที่ 3
รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน
สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
การรักษา
การรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ควรเริ่มตั้งแต่อธิบายให้ผู้ป่วยและคนในครอบครัวผู้ป่วย เข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้อง และแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตนเองให้เหมาะสม เช่น รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยออกกำลังกายสม่ำเสมอ, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และ รักษาสุขภาพจิตให้สดชื่น แจ่มใส เพราะถ้ามีความเครียด วิตกกังวล อาจทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการของโรคหืด หรือโรคทางเดินหายใจส่วนล่าง ก็ควรให้การรักษาร่วมด้วย หลักการรักษามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ
1. การหลีกเลี่ยง หรือกำจัดสิ่งที่แพ้
เป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด โดยหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ หรือกำจัด หรือลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะในห้องนอนซึ่งผู้ป่วยต้องใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ 68 ชั่วโมง ต่อวัน แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตว่า สารหรือภาวะแวดล้อมอะไร ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม บางครั้งการหลีกเลี่ยง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากในชีวิตประจำวัน
2. การใช้ยาบรรเทาอาการเช่น
- ยาต้านฮิสตะมีน ซึ่งจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อให้ยา ก่อนที่จะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ การใช้ยากลุ่มนี้ แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก และมีอาการเพียงครั้งคราว
- ยาหดหลอดเลือด มีทั้งในรูปรับประทาน และใช้เฉพาะที่ ทำให้หลอดเลือดหดตัว และเนื้อเยื่อในจมูกยุบบวม ทำให้อาการคัดจมูกน้อยลง
- ยาสตีรอยด์ สามารถให้ได้ในรูปรับประทาน และใช้เฉพาะที่ โดยชนิดรับประทานมีข้อบ่งชี้ในการใช้รักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ คือ
1. ในรายที่มีอาการคัดจมูกมาก ซึ่งทำให้การใช้ ยาสตีรอยด์พ่นจมูกได้ผลไม่ดี เนื่องจากยาไม่สามารถเข้าไปในจมูกได้ทั่วถึง
2. ในรายที่มีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ร่วมด้วย
3. ในรายที่มีริดสีดวงจมูกเล็กๆ ร่วมด้วย เพื่อทำให้ริดสีดวงจมูกยุบ
4. ในรายที่มีเยื่อบุจมูกเสียเนื่องจากการใช้ ยาหดหลอดเลือดชนิดใช้เฉพาะที่นานเกินไป
ยาสตีรอยด์ชนิดรับประทานมีข้อดีเหนือยาสตีรอยด์เฉพาะที่คือ มีผลต่อทุกส่วนของจมูกและโพรงอากาศข้างจมูก แต่อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้มาก จึงไม่ควรใช้ นานเกิน 14 วัน ส่วนยาสตีรอยด์เฉพาะที่ที่ใช้ในจมูกถือเป็นการรักษามาตรฐานของโรคนี้ โดยเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มากที่สุด ดังนั้นจึงใช้ยานี้ในการรักษาและป้องกันอาการ การใช้ยาสตีรอยด์เฉพาะที่ควรใช้ต่อเนื่องกันจึงจะได้ผลดี ในการคุมอาการของผู้ป่วย องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ใช้ยานี้เป็นยาชนิดแรกในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แบบอาการปานกลางถึงมาก หรือ รายที่มีอาการตลอดเวลา หรือในรายที่มีอาการคัดจมูกเป็นอาการเด่น
3. การฉีดวัคซีน (allergen immunotherapy)
เป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้ ที่คิดว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการ เข้าไปในร่างกายทีละน้อย โดยฉีดเข้าในผิวหนัง (intradermal) หรือใต้ผิวหนัง (subcutaneous) แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนจนได้ขนาดสูงสุดที่ผู้ป่วยรับได้
ข้อบ่งชี้ในการพิจารณาให้การรักษาโดยวิธีนี้คือ
1. ผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ ที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
2. ผู้ป่วยมีอาการมาก โดยมีอาการตลอดปี และเป็นมานานไม่ต่ำกว่า 1 2 ปี หรือมีอาการของโรคหืดร่วมด้วย
3. ไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา หรือไม่สามารถทนอาการข้างเคียงของยาเหล่านั้นได้
การฉีดวัคซีนนี้เป็นวิธีเดียว ที่มีแนวโน้มว่าจะรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ให้หายได้ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์ระดับภูมิคุ้มกัน องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เริ่มฉีดวัคซีน ในระยะแรกของโรค เมื่อมีข้อบ่งชี้ เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา และป้องกันไม่ให้อาการของโรคที่เป็นอยู่รุนแรง และป้องกันไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนจากโรคตามมา
นอกจากการให้วัคซีนโดยวิธีฉีดแล้ว มีรายงานว่าการให้วัคซีน ทางจมูก หรือหยดใต้ลิ้น ก็ได้ผลดีเช่นกัน
การรักษาโดยการผ่าตัด
อาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดรักษาอาการบางอย่าง เช่น อาการคัดจมูก หรือน้ำมูกไหล ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น
1. การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการคัดจมูก ในรายที่เยื่อบุจมูกมีการหนาตัวขึ้นอย่างมาก อาจทำให้มีอาการคัดจมูกตลอดเวลา ซึ่งอาจรักษาโดย
1.1 การทำลายเยื่อบุจมูก เพื่อให้เกิดพังผืด หดดึงรั้ง ทำให้เยื่อบุจมูกยุบตัว จมูกโล่งขึ้น อาจทำโดยใช้จี้ไฟฟ้า, เลเซอร์ หรือใช้คลื่นวิทยุ หรือใช้เครื่องปั่น ตัด ดูด (microdebrider) ตัดเนื้อเยื่อจมูกใต้เยื่อบุจมูกออกบางส่วน
1.2 การตัดกระดูกด้านข้างโพรงจมูกออก โดยอาจตัดเอาเยื่อบุที่หนาตัว หรือกระดูกด้านข้างโพรงจมูก ออกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเอาออกทั้ง 2 อย่าง จะทำให้โพรงจมูกโล่งขึ้น
2. การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการน้ำมูกไหล ได้แก่ การตัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกบางเส้น ทำให้อาการน้ำมูกไหลลดน้อยลง นอกจากนี้ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือมีโรคร่วมเกิดขึ้น ก็อาจต้องทำผ่าตัดรักษาเช่น ไซนัสอักเสบที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีริดสีดวงจมูกร่วมด้วย ก็อาจต้องผ่าตัดโพรงจมูกและไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป รายที่มีน้ำคั่งในหูชั้นกลาง ที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจใส่ท่อระบายที่เยื่อแก้วหู
- มีต่อตอนที่ 4-