การใช้กล้องส่องตรวจหู คอ จมูก และไซนัสโดยใช้ยาชาเฉพาะที่ (Upper Airway Endoscopy)
การใช้กล้องส่องตรวจหู คอ จมูก และไซนัสโดยใช้ยาชาเฉพาะที่
(Upper Airway Endoscopy)
รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน
สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
การตรวจหู, โพรงจมูก, ไซนัส, โพรงหลังจมูก, คอหอย และกล่องเสียง ถือเป็นขั้นตอนการตรวจที่สำคัญสำหรับการวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังทางหู คอ จมูกและไซนัส แต่เดิมการตรวจอวัยวะต่างๆ ดังกล่าวจะใช้เครื่องมือตรวจหู, เครื่องมือถ่างรูจมูก, ไม้กดลิ้น และกระจกร่วมกับการใช้แสงสว่างโดยใช้แหล่งกำเนิดแสง ซึ่งจะตรวจได้ข้อมูลเกี่ยวกับพยาธิสภาพของหู คอ จมูกและไซนัส ได้ในระดับหนึ่ง แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถตรวจอวัยวะต่างๆ ดังกล่าวได้ละเอียดในผู้ป่วยทุกราย เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกายวิภาค หรือผู้ป่วยบางรายไม่ร่วมมือในการตรวจ นอกจากนั้นไม่สามารถตรวจบริเวณโพรงจมูกตอนกลาง โดยเฉพาะรูเปิดของไซนัสได้อย่างละเอียด
การส่องกล้องตรวจหู คอ จมูกและไซนัส มีข้อดีคือ สามารถให้การวินิจฉัยโรคหู คอ จมูก โพรงหลังจมูกและไซนัสเป็นไปได้อย่างถูกต้องและแม่นยำขึ้น สามารถตรวจพบพยาธิสภาพที่ซ่อนอยู่ซึ่งไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจร่างกายธรรมดา นอกเหนือจากการตรวจวินิจฉัยแล้ว ยังใช้ช่วยในการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาและเอาวัสดุสิ่งแปลกปลอมออกด้วย หลังจากการวินิจฉัยแล้ว การส่องกล้องจะช่วยตัดสินในการรักษา ให้ถูกต้อง และเหมาะสมมากขึ้น ไม่ว่าจะรักษาด้วยการให้ยา หรือรักษาโดยการผ่าตัด หลังการรักษาอาจติดตามผลการรักษาด้วยการส่องกล้องตรวจว่าได้ผลดี มาก น้อยเพียงใด
เครื่องมือสำหรับการตรวจหู คอ จมูก และไซนัสโดยใช้กล้องส่อง
โดยทั่วไปแพทย์จะใช้กล้องชนิดแข็ง (เทเลเอ็นโดสโคป: tele-endoscope) ขนาด 4 มิลลิเมตรสำหรับการตรวจหู, โพรงจมูก, ไซนัส, โพรงหลังจมูก, คอ และกล่องเสียง ผู้ป่วยที่มีช่องจมูกแคบมาก หรือในเด็กที่มีช่องจมูกเล็ก แพทย์จะเลือกใช้กล้องเทเลเอ็นโดสโคปขนาด 2.7 มิลลิเมตร นอกจากนี้อาจใช้กล้องชนิดอ่อน (เฟล๊กซิเบิ้ลเอ็นโดสโคป: flexible-endoscope) ก็ได้ ซึ่งมีประโยชน์ในผู้ป่วยที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ซึ่งอาจจะดิ้นไปมาได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก ซึ่งจะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อโพรงจมูก และลำคอน้อย เวลาผู้ป่วยเคลื่อนไหวศีรษะ แพทย์ผู้ทำการตรวจสามารถดูได้โดยตรงด้วยตาเปล่า หรืออาจจะใช้กล้องวิดีทัศน์ต่อแล้ว ดูภาพบนจอทีวีก็ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยในการเห็นพยาธิสภาพของตนเอง รวมทั้งสามารถบันทึกภาพเก็บไว้เป็นหลักฐานทางการแพทย์ได้ด้วย
การเตรียมผู้ป่วยและการให้ยาชาเฉพาะที่บริเวณจมูก และคอ
ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดน้ำและอาหาร ก่อนมารับการส่องตรวจหู คอ จมูก และไซนัส ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ รวมทั้งประวัติการแพ้ยา โดยเฉพาะยาชา สำหรับผู้ป่วยเด็กเล็ก แพทย์อาจจะเริ่มต้นจากการคุยกันให้เด็กคุ้นเคยก่อน แล้วใช้กล้องส่องหู สาธิตให้ดูว่าจะใช้กล้องนี้ส่องดูที่จมูก หลังจากนั้นจึงค่อยเริ่มขบวนการตรวจจมูก, ไซนัส, โพรงหลังจมูก, คอ และกล่องเสียงด้วยกล้องต่อไป
แพทย์จะใช้น้ำยาหดหลอดเลือด ผสมกับยาชา ในอัตราส่วน 1: 1 แล้วนำน้ำยานี้ใส่ขวดสเปรย์สำหรับพ่นจมูก แล้วนำไปพ่นเข้าไปในโพรงจมูกของผู้ป่วยข้างละ 2-3 ครั้ง ให้ผู้ป่วยนั่งรอประมาณ 5 นาที เยื่อบุจมูกจะยุบบวม และสามารถทำการตรวจภายในโพรงจมูกได้เกือบทุกราย ในรายที่เยื่อบุจมูกบวมมาก ไม่ยุบ หรือต้องการตรวจละเอียดเพิ่มเติมในบางบริเวณ แพทย์จะใช้สำลีแผ่นบางตัดเป็นชิ้นยาวประมาณ 1½ นิ้ว หรือไม้พันสำลีชุบน้ำยาหดหลอดเลือด ผสมกับยาชา แล้วใส่ในโพรงจมูก วิธีการทั้ง 2 ชนิดนี้จะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกยุบบวมลงมาก ยาชาจะทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการใช้กล้องส่องตรวจ สามารถส่องตรวจได้เกือบทุกบริเวณของโพรงจมูก ส่วนในรายที่ต้องตรวจคอ และกล่องเสียง อาจตรวจได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา แต่ในรายที่สำลักหรืออาเจียนได้ง่าย (gag reflex ไว) แพทย์จะใช้ยาชาพ่นที่คอ และให้ผู้ป่วยนั่งรอประมาณ 5 นาที เพื่อทำให้คอชา ก่อนการส่องกล้อง
วิธีการส่องตรวจหู, โพรงจมูก และไซนัส, คอ และกล่องเสียง และการปฏิบัติตัว
การส่องกล้องตรวจหู คอ จมูกและและไซนัส สามารถทำได้โดย ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งบนเก้าอี้ตรวจที่มีพนักพิงและมีที่พิงศีรษะ การตรวจในท่านั่งมีข้อดี คือ สะดวก จัดท่าง่าย รวดเร็ว ไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปที่เตียง แต่จะมีปัญหาเรื่องผู้ป่วยกลัวแล้วเป็นลมหมดสติ ดังนั้นเวลาส่องตรวจแพทย์จะพูดคุยซักถามและสังเกตผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลาว่ามีอาการ กลัว หน้าซีด มือเย็นหรือไม่ ถ้ามีแพทย์จะรีบให้ผู้ป่วยนอนราบทันที นอกจากนั้นอาจมีปัญหาเรื่องผู้ป่วยขยับศีรษะหรือผงะหนี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีระดับความทนทานต่อความเจ็บปวดน้อย ดังนั้นจึงต้องใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงและมีที่พิงศีรษะด้วย ขณะตรวจผู้ป่วยไม่ควรเคลื่อนไหวศีรษะ เพราะจะทำให้กล้องกระทบกับผนังหูชั้นนอก, โพรงจมูก และคอ ทำให้เกิดอาการเจ็บได้ ระหว่างการส่องตรวจอาจมีอาการเจ็บ, คันหรือ แสบของหู คอ และจมูก และอาจจามได้เล็กน้อย ในการตรวจคอหอยส่วนล่าง และกล่องเสียง แพทย์จะดึงลิ้นผู้ป่วย และส่องกล้องชนิดแข็ง ผ่านเข้าไปทางปาก แพทย์จะให้ผู้ป่วยหายใจทางปาก ถ้าใช้กล้องชนิดอ่อน จะสามารถตรวจคอหอยส่วนล่าง และกล่องเสียงโดยผ่านกล้องลงไปจากโพรงหลังจมูก และอาจให้ออกเสียง อี เพื่อดูการเคลื่อนไหวของสายเสียง
หลังการส่องตรวจหู คอ จมูก และไซนัส ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ และในรายที่ยาชาไหลลงคอทำให้มีอาการชาที่คอ หรือแพทย์พ่นคอเพื่อให้ชา อาจรู้สึกคล้ายมีอะไร เช่น เสมหะ ติดในลำคอได้ หรือรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออกได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปภายใน ½ ชั่วโมงหลังส่องกล้องเสร็จ ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานน้ำหรืออาหารเป็นระยะเวลาประมาณ ½-1ชั่วโมงหลังทำ เพื่อป้องกันการสำลักลงหลอดลม หลังจากนั้นจึงเริ่มดื่มน้ำได้ ถ้าสามารถดื่มได้ดี ไม่มีอาการผิดปกติ จึงเริ่มรับประทานอาหารได้ ภายใน 24 ชั่วโมงแรกผู้ป่วยอาจมีน้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอมากขึ้น อาจมีอาการแสบ หรือคัดจมูก ระคายคอ หรือเจ็บคอเล็กน้อยได้ แต่อาการดังกล่าวมักจะหายไปเอง
การส่องกล้องตรวจหู คอ จมูก และไซนัสโดยใช้กล้องทั้งเทเลเอ็นโดสโคป และเฟล๊กซิเบิ้ลเอ็นโดสโคป เป็นมาตรฐานอย่างหนึ่งของการตรวจวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังทางหู คอ จมูกและไซนัส เอ็นโดสโคป ช่วยให้เห็นภาพได้โดยตรง ชัดเจน โดยเฉพาะในบริเวณที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้การวินิจฉัยและประเมินพยาธิสภาพภายในหู คอ จมูก และไซนัสเป็นไปได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น และบอกระยะ และความรุนแรงของโรคได้ และสามารถวางแผนการรักษาได้ถูกต้องมากขึ้น การส่องกล้องตรวจหู คอ จมูก และไซนัสจึงถือเป็นขั้นตอนการตรวจและวินิจฉัยที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหู คอ จมูกและไซนัสโดยเฉพาะในรายที่เป็นเรื้อรัง หรือได้รับการรักษามาจากที่อื่นแล้วไม่ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย และเพื่อป้องกันความผิดพลาดของแพทย์ในการวินิจฉัยโรคหู คอ จมูกและไซนัส