มะเร็งหลังโพรงจมูก

มะเร็งหลังโพรงจมูก

 

รศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา

 Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

มะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นโรคที่อยู่ในตำแหน่งซ่อนเร้น จึงทำให้ผู้ป่วยมาหาด้วยอาการของระยะแพร่กระจาย ในแต่ละปีพบผู้ป่วยทั่วโลกไม่ถึง 1 ต่อแสนคน แต่ในบางบริเวณจะพบผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้สูงอย่างเด่นชัด ได้แก่ จีนตอนใต้  แคนาดา  อลาสกา  ชาวเอสกิโมในกรีนแลนด์   บางส่วนของแอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย  สำหรับในประเทศไทยพบมะเร็งหลังโพรงจมูก ในผู้หญิง 1.6 ต่อแสนคนต่อปี  ในชาย 4.5 ต่อแสนคนต่อปี  จัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับเก้าสำหรับผู้ชายไทย  ทั้งนี้พบอุบัติการณ์ในผู้ชายสูงกว่าในผู้หญิงประมาณสองเท่า  ส่วนมากอยู่ในวัยหนุ่มสาวถึงกลางคน  ในโรงพยาบาลศิริราชตรวจพบผู้ป่วยใหม่ประมาณ 90 – 100 คนต่อปี

 

สาเหตุ

          1. พันธุกรรม   จากการที่พบว่ามะเร็งหลังโพรงจมูกมีความชุกสูงเฉพาะในบางเขตภูมิศาสตร์ เช่นในประเทศจีนตอนใต้ และส่วนอื่นๆที่ชาวจีนอพยพไป ทำให้มีการศึกษาว่าพันธุกรรมอาจเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดมะเร็งชนิดนี้

          2. ไวรัส  เป็นที่ยอมรับกันว่าไวรัสเอปสไตน์บาร์ (Epstein-Barr virus - EBV) มีส่วนสำคัญต่อการเกิดมะเร็งหลังโพรงจมูก โดยศึกษาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกจะมีสารภูมิคุ้มกันต่อไวรัสชนิดนี้ ในปริมาณที่สูงกว่าประชากรทั่วไปที่มีสุขภาพดี

          3. อาหารการกิน  พบว่าในมณฑลกวางตุ้งซึ่งมีอุบัติการณ์ของมะเร็งหลังโพรงจมูกในอัตราสูงนั้น ประชาชนนิยมบริโภคปลาหมักเค็มกันมากกว่าจีนส่วนอื่น

          4. สิ่งแวดล้อม  มีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมหลายอย่างที่อาจมีผลต่อการเกิดมะเร็งหลังโพรงจมูก ได้แก่ฝุ่นละออง  ควันไฟจากการเผาไม้หรือหญ้า  สารเคมีต่างๆ ตลอดจนบุหรี่

 

อาการ

          1. ก้อนที่คอ  เป็นอาการที่พบมากที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกที่มาพบแพทย์ โดยก้อนที่คอนั้นอาจมีเพียงข้างใดข้างหนึ่งหรือเป็นทั้งสองข้างก็ได้

          2. อาการทางจมูก  เช่น มีน้ำมูกปนเลือดบ่อยครั้ง แน่นจมูกหายใจไม่ค่อยสะดวก หรือมีน้ำมูกไหลลงคอเรื้อรัง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยหลายรายอาจได้รับการรักษาแบบโพรงจมูกหรือโพรงไซนัสอักเสบเรื้อรังมาก่อน

          3. อาการทางหู  ได้แก่ การได้ยินบกพร่อง  มีเสียงดังในหู  ปวดหู หรือมีของเหลวไหลออกจากหู ซึ่งเกิดจากการทำงานผิดปกติของท่อเชื่อมหูชั้นกลาง  เนื่องจากมะเร็งหลังโพรงจมูกกระจายตัวมาถึง

          4. ระบบประสาท  ได้แก่ อาการปวดศีรษะ  มองเห็นภาพซ้อน  ชาที่ใบหน้า ในรายที่ลุกลามมาก  ผู้ป่วยก็อาจมีอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า  เวียนศีรษะ  เสียงแหบ  กลืนลำบาก หรือสำลักได้

          5. อาการของการกระจายของมะเร็งไปสู่อวัยวะอื่นๆ

 

การวินิจฉัย

          1. โดยการซักประวัติ

          2. จากการตรวจร่างกาย  ในบริเวณศีรษะและคออย่างละเอียดรวมถึงการตรวจร่างกายทั่วไปซึ่งมีความสำคัญในการวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูก และประเมินขอบเขตของมะเร็งที่อาจกระจายไปแล้ว ตลอดจนประเมินการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลือง  ปัจจุบันการใช้กล้องส่องตรวจขนาดเล็กทั้งแบบแข็งหรือแบบอ่อนช่วยให้แพทย์สามารถเห็นตำแหน่งของมะเร็งได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

          3. การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา เป็นการให้การวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุด การตัดชิ้นเนื้อตรวจสามารถทำได้ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกโดยการใช้ยาชาเฉพาะที่ และอาจใช้ กล้องส่องช่วยในการตัดชิ้นเนื้อด้วยได้

          4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ

          - การตรวจเซลล์ ผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกบางรายมาพบแพทย์ครั้งแรกด้วยปัญหาต่อมน้ำเหลืองข้างลำคอโต โดยที่แพทย์ไม่พบความผิดปกติที่บริเวณหลังโพรงจมูก การเจาะและดูด (fine needle aspiration biopsy -FNA) บริเวณต่อมน้ำเหลืองเพื่อตรวจเซลล์ สามารถช่วยในการวินิจฉัยได้

          - การตรวจเลือด โดยการตรวจสารภูมิต้านทานอิมมูโนโกลบูลินเอ( IgA antibodies) ต่อไวรัสเอปสไตน์บาร์ (Epstein-Barr virus specific antigens) โดยพบว่าผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกจะมีปริมาณสารภูมิต้านทาน สูงกว่าประชากรปกติ นอกจากนี้จะมีการส่งตรวจเลือด  เพื่อดูความเข้มของเลือด  ตรวจดูระดับการทำหน้าที่ของตับ  เพื่อประเมินสภาพผู้ป่วยในการวางแผนการรักษาต่อไป

          - การตรวจทางรังสีวิทยา ดังได้กล่าวแล้วว่าผู้ป่วยบางรายที่แพทย์สงสัยว่าเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกแต่ตรวจร่างกายไม่พบก้อนเนื้อหรือแผลที่บริเวณหลังโพรงจมูก  การตรวจ computed tomography (CT) และ magnetic resonance imaging (MRI) จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยวินิจฉัยโรค และการตรวจทั้งสองอย่างนี้ยังสามารถบอกขอบเขตการลุกลามของตัวมะเร็งตลอดจนการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองได้เป็นอย่างดี   นอกจากนั้นการตรวจทางรังสีวิทยาอย่างอื่น ยังมีประโยชน์ในการตรวจหาว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆอีกหรือไม่ ได้แก่ การตรวจ bone scan และการตรวจอัลตราซาวด์ตับ (liver ultrasound) เป็นต้น

 

การรักษา

            การรักษามะเร็งหลังโพรงจมูกโดยหลักแล้วคือการใช้รังสีรักษา  โดยอาจร่วมกับการให้เคมีบำบัดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะการดำเนินโรคของมะเร็ง  สำหรับการผ่าตัดนั้นไม่มีบทบาทในการรักษาโดยตรงเนื่องจากมะเร็งหลังโพรงจมูกมีขอบเขตของรอยโรคใกล้กับอวัยวะที่สำคัญ อาทิเส้นเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงคอและสมอง  ฐานกะโหลกศีรษะ ตลอดจนส่วนของสมองเอง  อย่างไรก็ตามการผ่าตัดก็ยังคงมีบทบาทในการรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก ในกรณีที่สามารถควบคุมตัวมะเร็งหลังโพรงจมูกได้แล้ว แต่ยังคงมีก้อนที่คออยู่ หรือในผู้ป่วยที่มีมะเร็งเกิดซ้ำหรือหลงเหลือในบริเวณที่จำกัด ก็อาจพิจารณาผ่าตัดได้ในบางราย

 

­

 

 

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด