การใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้บริเวณโคนลิ้น
การใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้บริเวณโคนลิ้น
(Radiofrequency at base of Tongue: RF BOT)
รศ.นพ.วิชญ์ บรรณหิรัญ
คลินิกนอนกรน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
การใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้บริเวณโคนลิ้นเป็นการผ่าตัดเล็กที่นิยมทำมาก เพื่อรักษา อาการนอนกรน และ/ หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การรักษาวิธีนี้ทำโดยแพทย์จะใส่เครื่องมือที่เป็นเข็มชนิดพิเศษแทงเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณโคนลิ้น เพื่อส่งคลื่นความถี่วิทยุ (radiofrequency) ให้เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนในเนื้อเยื่อดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้เยื่อบุบางส่วนและเกิดเป็นพังผืดทำให้มีการหดตัวและลดปริมาตรบริเวณโคนลิ้น วิธีนี้สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือภายใต้การดมยาสลบ ผู้ป่วยอาจต้องนอนโรงพยาบาลหลังรักษาเพื่อสังเกตอาการ 24 ชั่วโมง มีแผลที่เยื่อบุโคนลิ้นเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีบาดแผลใดๆ ที่มองเห็นได้จากภายนอก อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดไม่มาก ผลการรักษามักเห็นได้ใน 4-6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามไม่ใช่การรักษาที่คาดหวังว่าจะได้ผลถาวรตลอดไปเช่นเดียวกับการรักษาชนิดอื่นๆ เนื่องจากในอนาคต ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและอายุมากขึ้น อาการอาจกลับมาเป็นอีกได้ แต่ถ้าผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ สามารถทำซ้ำได้อีก วิธีนี้นิยมใช้ร่วมกับกับการผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนลิ้นไก่และผนังคอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด
โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและพบน้อยไม่ถึงร้อยละ 5 ได้แก่ ผู้ป่วยอาจรู้สึกหายใจลำบากจากการบวมโคนลิ้น ซึ่งถ้าอาการรุนแรง อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะหลอดลมคอ บางรายอาจเลือดออกจากแผลผ่าตัด ซึ่งปกติมักมีปริมาณน้อยและหยุดได้เอง ยกเว้นถ้าเลือดออกไม่หยุดอาจต้องไปทำการห้ามเลือดในห้องผ่าตัด ผู้ป่วยอาจกลืนไม่สะดวกเนื่องจากบวมและเจ็บโคนลิ้นในช่วงแรกได้ ซึ่งมักเป็นไม่เกิน 1 สัปดาห์ การรักษาวิธีนี้อาจมีความเสี่ยงต่อภยันตรายต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 ซึ่งมาเลี้ยงกล้ามเนื้อของลิ้นได้ แต่มีรายงานที่พบน้อยมาก (ไม่ถึงร้อยละ 1) และผู้ป่วยเกือบทุกรายพูดได้ชัดปรกติ นอกจากความเสี่ยงจากการผ่าตัดแล้วยังมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการใช้ยาชาเฉพาะที่ เช่น ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายได้เอง อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลข้างเคียงที่รุนแรงจะพบได้น้อยมาก แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับและมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือ มีโรคหัวใจหรือโรคปอดร่วมด้วย จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงขึ้น
การปฏิบัติตนและสิ่งที่ควรทราบหลังผ่าตัด
1. ผู้ป่วยส่วนมากมักได้รับการรักษาร่วมกับการผ่าตัดบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือการรักษาในจมูก ดังนั้น แพทย์จึงมักให้นอนพักในโรงพยาบาล หลังผ่าตัด 1-2 คืน เพื่อเฝ้าระวัง และสังเกตอาการ
2. ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บคอ ราว 1 2 สัปดาห์ ซึ่งมักเป็นเนื่องจากการผ่าตัดอื่นที่ทำร่วมด้วยมากกว่า อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยมักจะได้รับยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และ ยาลดบวมกลุ่มสเตียรอยด์ ร่วมด้วย
3. หลังการผ่าตัดสัปดาห์แรก ทางเดินหายใจมักจะบวมขึ้น อาจทำให้หายใจไม่สะดวก และกรนไม่ดีขึ้น นอกจากนี้อาจมีเลือดออกได้ ดังนั้นควรอมน้ำเข็งหรือประคบเย็นที่คอบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการขับเสมหะแรงๆ ระวังไม่แปรงฟันเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป งดเล่นกีฬาที่หักโหมหรือยกของหนักชั่วคราว นอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน แต่ถ้าอาการเป็นรุนแรงขึ้นควรรีบไปโรงพยาบาลพบแพทย์ทันที
4. ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือ อาหารเหลวที่เย็น เช่น ไอศกรีม ไม่ควรรับประทานอาหารที่แข็งหรือร้อน หรือ รสเผ็ดรสจัดเกินไป อย่างน้อย 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด
5. ควรรักษาความสะอาดในช่องปาก เช่น บ้วนปากและแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
การนัดตรวจติดตามอาการ แพทย์จะนัดมาดูแผลครั้งแรกประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด และหลังจากนั้น 4 สัปดาห์ แพทย์จะนัดมาเพื่อประเมินผลการรักษา ถ้าอาการต่างๆ เช่น นอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่ดีขึ้น แพทย์อาจจะพิจารณาการรักษาซ้ำหรือ แนะนำทางเลือกในการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมมากกว่า ต่อไป