การผ่าตัดตกแต่งลิ้นไก่และเพดานอ่อน แบบประยุกต์ เพื่อรักษานอนกรน

การผ่าตัดตกแต่งลิ้นไก่และเพดานอ่อน แบบประยุกต์ เพื่อรักษานอนกรน
(Modified Uvulopalatopharyngoplasty; UPPP ) 

รศ.นพ.วิชญ์  บรรณหิรัญ
ABSM, Certified International Sleep Specialist
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

            เป็นการผ่าตัดด้วยเทคนิคแบบใหม่ในการรักษา อาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่หย่อนบริเวณลิ้นไก่และเพดานอ่อนบางส่วนออกเล็กน้อย โดยเหลือส่วนของลิ้นไก่อยู่ราว 1ใน และทำการเย็บด้วยไหมละลาย  เพื่อทำให้ทางเดินหายใจบริเวณช่องคอกว้างขึ้น วิธีนี้สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือ ดมยาสลบก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย   ผลข้างเคียงน้อยและได้ผลดีสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก  สามารถลดเสียงกรนได้มากกว่า ร้อยละ 50  อย่างไรก็ตามไม่ใช่การรักษาที่คาดหวังว่าจะได้ผลถาวรตลอดไปเช่นเดียวกับการรักษาชนิดอื่นๆ   เนื่องจากในอนาคต ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและอายุมากขึ้น อาการอาจกลับมาเป็นอีกได้  การผ่าตัดชนิดนี้เป็นการผ่าตัดโดยแพทย์จะใส่เครื่องมือทางผ่านทางช่องปาก  จึงไม่มีบาดแผลใดๆที่มองเห็นได้จากภายนอก

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด  ผู้ป่วยควรจะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไข้หวัดหรือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้ต้องเลื่อนการผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยบางรายที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน หรือ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหยุดยาก่อนผ่าตัดหลายวัน ทั้งนี้ต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ป่วยสำหรับการผ่าตัด ซึ่งอาจต้องตรวจเลือด ภาพถ่ายรังสี หรือคลื่นหัวใจแล้วแต่ความจำเป็น และถ้าผลตรวจปรกติ ผู้ป่วยที่เลือกการผ่าตัดแบบใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถมาโรงพยาบาลวันที่นัดทำผ่าตัดได้เลย 

            ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและพบน้อยไม่ถึงร้อยละ 5 ได้แก่ เลือดออกจากแผลผ่าตัด ซึ่งปกติมักมีปริมาณไม่มากและหยุดได้เอง แต่บางรายถ้าเลือดออกไม่หยุดอาจต้องไปทำการห้ามเลือดในห้องผ่าตัด   ผู้ป่วยอาจรู้สึกหายใจลำบากจากการบวมของทางเดินหายใจรอบแผลผ่าตัด  ซึ่งถ้าอาการรุนแรง อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะหลอดลมคอ  นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการสำลักน้ำหรืออาหารขึ้นจมูกถ้ารับประทานอาหารและกลืนอย่างรวดเร็ว ซึ่งพบน้อยมากที่จะมีเป็นนานเกิน 1 เดือน  ผู้ป่วยสามารถพูดได้ชัดปรกติและมีผลต่อเสียงหรือการพูดน้อย ยกเว้นผู้ที่ต้องใช้เสียงเป็นอาชีพเช่น นักร้อง หรือนักพากย์ ท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน  นอกจากความเสี่ยงจากการผ่าตัดแล้วยังมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการใช้ยาชาเฉพาะที่ เช่น ใจสั่น  หน้ามืด  เป็นลม  หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายได้เอง    อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลข้างเคียงที่รุนแรงจะพบได้น้อยมาก แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับและมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือ มีโรคหัวใจหรือโรคปอดร่วมด้วย  จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงขึ้น


          การปฏิบัติตนและสิ่งที่ควรทราบหลังผ่าตัด
          1.ผู้ป่วยส่วนมากสามารถกลับบ้านได้หลังพักฟื้นเพียง 1-2 ชั่วโมง ยกเว้น ในบางรายแพทย์อาจให้นอนในหอผู้ป่วยหลังผ่าตัด 1 คืน เพื่อสังเกตอาการ  
          2.ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บคอค่อนข้างมากราว 1 – 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีแผลผ่าตัดและมีไหมเย็บอยู่ในช่องคอ โดยผู้ป่วยจะได้รับยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวด  ยาแก้อักเสบ  หรือยาอมแก้เจ็บคอ และไหมที่เย็บไว้จะละลายได้เองในเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน
          3.หลังการผ่าตัดสัปดาห์แรก แผลผ่าตัดยังไม่แข็งแรง ทางเดินหายใจมักจะบวมขึ้น อาจทำให้หายใจไม่สะดวก และกรนไม่ดีขึ้น นอกจากนี้อาจมีเลือดออกได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับเสมหะแรงๆ  ระวังไม่แปรงฟันเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป   งดเล่นกีฬาที่หักโหมหรือยกของหนักชั่วคราว  นอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน อมและประคบน้ำแข็งที่คอบ่อยๆ  แต่ถ้าอาการเป็นรุนแรงขึ้นควรรีบไปโรงพยาบาลพบแพทย์ทันที  
          4.ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม   หรือ อาหารเหลวที่เย็น เช่น ไอศกรีม   ไม่ควรรับประทานอาหารที่แข็งหรือร้อน หรือ รสเผ็ดรสจัดเกินไป  อย่างน้อย 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด
          5.ควรรักษาความสะอาดในช่องปาก เช่น บ้วนปากและแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร

          การนัดตรวจติดตามอาการ  แพทย์จะนัดมาดูแผลครั้งแรกประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด และหลังจากนั้น 3-4  สัปดาห์ แพทย์จะนัดมาเพื่อประเมินผลการรักษา ถ้าอาการต่างๆ เช่น นอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่ดีขึ้น  แพทย์จะพิจารณาแนะนำทางเลือกในการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมต่อไป

 

 


เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด