แนวทางใหม่ในการรักษานอนกรน
แนวทางใหม่ในการรักษานอนกรน
รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เรื่องการนอนกรนนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ตนเองอาจนึกไม่ถึง แต่คนข้างเคียงร้อยทั้งร้อยต่างส่งสัญญาณว่า.. ควรแก้ไขเถอะ
ปัญหาการนอนกรน เป็นความผิดปกติของการนอนหลับที่พบบ่อย สำหรับในคนไทยแล้วยังไม่ปรากฏตัวเลขแน่ชัด แต่ในต่างประเทศ ช่วงอายุ 30- 35 ปี พบว่าประมาณร้อยละ20 ของเพศชาย และร้อยละ5 ของเพศหญิง จะมีอาการนอนกรน และเมื่ออายุมากขึ้นถึง 60 ปี ประมาณร้อยละ60 ของเพศชาย และร้อยละ40 ของเพศหญิงจะกรนเป็นนิสัย ซึ่งถ้าดูกันแล้วจะเห็นได้ว่าอาการนอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
อาการนอนกรน เป็นอาการที่บ่งบอกถึงการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจมาก จนกระทั่งทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะนอนหลับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับพบได้ประมาณร้อยละ4 ในเพศชายและร้อยละ 2 ในเพศหญิง
อาการนอนกรนนั้น มี 2 ประเภท
1. อาการนอนกรนธรรมดา (ไม่มีอันตรายเพราะไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย) มีผลกระทบต่อสังคมและคุณภาพชีวิตของผู้อื่น โดยเฉพาะกับคู่นอน บุคคลอื่น ๆ ในครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมงาน เช่น ทำให้ผู้อื่นนอนหลับยาก หรืออาจมากจนกระทั่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลดังกล่าวได้ เช่น อาจทำให้เกิดการหย่าร้างของคู่สามีภรรยา
2. อาการนอนกรนอันตราย (มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย) มีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพ คือ ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้จะมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน และมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุในท้องถนน และในโรงงานอุตสาหกรรมได้ง่าย และมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่น ๆ หลายโรค ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคของหลอดเลือดในสมอง ตลอดจนการมีสมรรถภาพทางเพศที่เสื่อมลง
วิธีแก้ปัญหาอาการนอนกรนในปัจจุบันนั้น สามารถแบ่งเป็นการรักษาที่ไม่ผ่าตัดและผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะอาการนอนกรนของผู้นั้น
วิธีที่ไม่ผ่าตัด
ได้แก่ การใช้เครื่องครอบฟัน ซึ่งเป็นเครื่องมือทันตกรรมที่สวมใส่ในปากขณะนอนหลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นหรือเนื้อเยื่ออ่อนในลำคอตกลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ เครื่องครอบฟันบางชนิดจะยึดขากรรไกรบนและล่างเข้าด้วยกัน และสามารถเลื่อนขากรรไกรล่างไปทางด้านหน้าขณะนอนหลับ ซึ่งจะทำให้ลิ้นเลื่อนตำแหน่งไปทางด้านหน้าด้วย เนื่องจากลิ้นยึดติดอยู่กับขากรรไกรล่าง ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นขณะนอนหลับ วิธีนี้ช่วยให้อาการนอนกรนธรรมดา หรืออันตรายลดลง
ส่วนวิธีผ่าตัด
ได้แก่ การใช้คลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งเป็นการนำเข็มพิเศษเข้าไปในเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เพดานอ่อน ต่อมทอนซิล โคนลิ้น หรือเยื่อบุจมูก เพื่อส่งคลื่นความถี่สูงที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนให้แก่เนื้อเยื่อรอบๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียสภาพและการตายของเนื้อเยื่อขึ้นภายใน 1 - 2 เดือน หลังจากนั้นจะเกิดเนื้อเยื่อพังผืด เกิดการหดและลดปริมาตรของเนื้อเยื่อ
วิธีนี้สามารถลดขนาดเนื้อเยื่อต่างๆ ที่อุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น เป็นผลให้อาการนอนกรนและ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับน้อยลง ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น วิธีนี้ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบๆ น้อย และยังทำให้อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อยด้วย สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ผลของการลดขนาดของเนื้อเยื่อดังกล่าวจะเห็นชัดเจนใน 4 - 6 สัปดาห์ อาจทำซ้ำได้อีก ถ้าผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจวิธีนี้ง่ายในการทำผลข้างเคียงน้อยและได้ผลดี
อีกวิธีหนึ่งคือ การฝังพิลลาร์ (Pillar) เข้าไปในเพดานอ่อน โดยสอดแท่งเล็กๆ 3 แท่ง (ขนาดยาว 1.8 เซนติเมตร กว้าง 2 มิลลิเมตร) ซึ่งทำมาจากโพลิเอสเตอร์อันอ่อนนุ่ม ที่ใช้เป็นวัสดุทางการแพทย์ชนิดที่สามารถสอดใส่ในร่างกายมนุษย์ได้อย่างถาวร ฝังเข้าไปในเพดานอ่อนในปาก (ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก) ด้วยเครื่องมือช่วยการใส่ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ โดยไม่ได้ตัดหรือทำลายเนื้อเยื่อของเพดานอ่อน พิลลาร์จะช่วยลดการสั่นสะเทือนหรือการสะบัดตัวของเพดานอ่อน และพยุงไม่ให้เพดานอ่อนในปากปิดทางเดินหายใจได้โดยง่าย และเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเยื่อของเพดานอ่อนรอบๆ จะตอบสนองต่อแท่งพิลลาร์โดยการเกิดพังผืด ช่วยเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ทางด้านโครงสร้างของเพดานอ่อนในปากมากขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น หายใจได้สะดวกขึ้น และอาการนอนกรนน้อยลง โดยไม่รบกวนการพูด การกลืน หรือการทำงานปกติของเพดานอ่อน มักนิยมใช้รักษาอาการนอนกรนและ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เป็นไม่มาก
ข้อดีของวิธีนี้คือ อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อย การรักษาจะเสร็จสมบูรณ์ในครั้งเดียวและใช้เวลาไม่นานในการผ่าตัด สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
ว่าแต่จะรักษาด้วยวิธีใด หายหรือไม่นั้นอย่าพึ่งกังวล ขอให้มาพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อทำการวินิจฉัย ตรวจหาสาเหตุของโรค ประเมินความรุนแรงและพิจารณาแนวทางรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากหากให้การรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ และยังทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
ด้วยแนวทางใหม่ในรักษานอนกรน จะทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกและร่วมมือในการรักษามากขึ้น