แนวทางสำหรับการลดน้ำหนักในคนนอนกรน (ตอนที่ 1)

แนวทางสำหรับการลดน้ำหนักในคนนอนกรน (ตอนที่ 1)

Weight Reduction Guidelines               

รศ.นพ.วิชญ์  บรรณหิรัญ

    ภาควิชา โสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา

Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

      ปัจจุบันพบว่า ความอ้วน หรือน้ำหนักเกินเป็นสาเหตุอย่างหนึ่ง ของการนอนกรน และ หยุดหายใจขณะหลับซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว  ยังเป็นที่ทราบกันดีว่า ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อ โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, อัมพฤกษ์,  กระดูกเข่าเสื่อม, โรคนิ่วในถุงน้ำดี และตลอดจนโรคมะเร็งบางชนิด  หรือโรคอื่น ๆ อีกไม่น้อย

การประเมินระดับความอ้วน หรือน้ำหนักเกิน  สามารถวัดได้หลายวิธี เช่น
     
1. การหาค่า ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) หรือ BMI ซึ่งปัจจุบันเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด

โดยคำนวณได้จาก สูตร  คือ   BMI    =   น้ำหนัก (kg)
                                                         ส่วนสูง2 (m2)
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีน้ำหนัก 70 กก. และมีส่วนสูง 1.70 เมตร  จะมีค่า ดัชนีมวลกาย (BMI)  คือ 

70 / (1.70 x 1.70)  ดังนั้น จะมีค่า BMI =  24.22  เป็นต้น
ในผู้ใหญ่  ค่า  BMI ในช่วง   18.5  -  24.9 จะถือว่าปกติ    ถ้า BMI อยู่ในช่วง   25  -  29.9    จะถือว่าท้วม หรือน้ำหนักเกิน (Overweight),  หรือ  BMI อยู่ในช่วง   30 -  39.9   จะถือว่า อ้วน  (Obesity)  แต่ถ้า BMI มากกว่า 40   จะถือว่า อ้วนมาก (Extreme Obesity) สำหรับเด็ก ให้ใช้ค่า BMI ที่คำนวณได้ไปเทียบกับ Growth chart  ตามอายุ และเพศ  ที่มีอยู่  
     
2. การวัดรอบเอว (Waist circumference)  ให้วัดระดับเหนือกระดูกเชิงกราน วัดตรงกลางขณะหายใจออกสุด    ซึ่งค่าที่ได้นี้จะสัมพันธ์กับไขมันในช่องท้อง (visceral fat)
     
3. การวัดเส้นรอบคอ (Neck circumference)

วิธีการลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วนหรือน้ำหนักเกิน  อาจแบ่งออกเป็นขั้นตอน ได้แก่
1. การตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนัก (Goal Setting)
      สำหรับในผู้ใหญ่ ควรตั้งเป้าหมายแบบ ค่อยเป็นค่อยไป และสมเหตุ สมผล เช่น ลดน้ำหนักตัวได้ ร้อยละ 5- 10 จากปัจจุบัน ภายใน 6 เดือน  หรือ ประมาณ ½  กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (เดือนละ 2 กก.) เป็นต้น  สำหรับเด็กนั้น อาจตั้งเป้าหมายเพียง น้ำหนักตัวให้คงที่ ขณะที่ส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างเดียว เป็นต้น

2. การปรับเปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Life style changes)
       วิธีนี้ ถือว่าเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดสำหรับระยะยาว  โดยหลักการคือ การหาทางลดพลังงานที่ได้รับ (Energy Intake)  และ เพิ่มการใช้หรือเผาผลาญพลังงาน (Energy Output) 
      
2.1    การลดพลังงานที่ได้รับจากอาหาร (Diet Control)

โดยทั่วไป ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรควบคุมพลังงานที่ได้รับจากอาหาร ให้ ไม่เกินวันละ 1200 – 1600 แคลอรี่ ในผู้ชาย   หรือ วันละ 1000 – 1200 แคลอรี่ ในผู้หญิง   ในเด็กที่ลดน้ำหนัก หรือบางรายที่ต้องควบคุมมากกว่านี้  ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัย  
          
2.1.1 ชนิดของอาหารที่ควรจำกัดปริมาณ
          - อาหารที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวและชนิด trans- สูง   ได้แก่  กลุ่มเนื้อติดมัน ไส้กรอก หนังไก่ หนังหมู ของทอดต่างๆ ด้วย น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู เช่น ไก่ทอด  มันฝรั่งทอด หรือ กล้วยทอด  ฯลฯ  และ กลุ่มที่มีกะทิ เช่น มะพร้าว หรือ แกงกะทิ หรือ กลุ่มที่มีครีม เช่น เนย ไอศกรีม คุกกี้ เค้ก โดนัท ขนมปังส่วนใหญ่ เป็นต้น

           - อาหารที่มีไขมันคลอเลสเตอรอลสูง  ได้แก่ ไข่แดง ตับ เครื่องในสัตว์ กุ้ง หรือผลิตภัณฑ์ นม เนย ครีม  ฯลฯ

           - อาหารที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ น้ำหวาน  น้ำเชื่อม ผลไม้กระป๋อง ฯลฯ

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด