บอกเลิก CPAP ด้วย "เครื่องกระตุ้นทางเดินหายใจ UAS"

American Board of Sleep Medicine
Certified international sleep specialist
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

          "เบื่อกับการใช้ CPAP ตลอดชีวิตหรือไม่" ถ้าใช่ UAS อาจเปนหนึ่งในคำตอบ สำหรับคนนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ ลองศึกษาดู...

          นอนกรน และ โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (obstructive sleep apnea หรือ OSA) สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเกิดจากการอุดกั้นของช่องคอ โดยเฉพาะบริเวณโคนลิ้นและเนื้อเยื่อเพดานอ่อน จนกระทั่งทำให้ลมหายใจไม่สามารถเข้าออกได้อย่างปกติ หรือหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับ ทั้งนี้เป็นเพราะขณะหลับกล้ามเนื้อและประสาทจะคลายตัวอย่างมาก

          การกระตุ้นทางเดินหายใจส่วนบน (Upper Airway Stimulation - UAS) เป็นนวัตกรรมการรักษา ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่อึดอัด ไม่สามารถทน หรือไม่สะดวกในการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure - CPAP)
            หลักการ: UAS เป็นการฝังอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระตุ้นเส้นประสาทไฮโปกลอสซัล (hypoglossal nerve) ซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลิ้น (genioglossus muscle) การกระตุ้นนี้ช่วยให้ลิ้นเคลื่อนไปข้างหน้าระหว่างการนอนหลับ ป้องกันการอุดกั้นทางเดินหายใจที่เกิดจากการยุบตัวของลิ้น


ใครคือผู้เหมาะสมได้บ้างสำหรับการทำ UAS

            (ข้อบ่งชี้ในการรักษา) ได้แก่ อายุ 18 ปีขึ้นไป เป็น OSA ระดับปานกลางถึงรุนแรง ดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 40 กก/ตรม. ไม่สามารถทนต่อการใช้ CPAP และไม่มีลักษณะทางเดินหายใจบางอย่างที่ผิดปกติจากการส่องกล้องขณะหลับ (DISE)

ขั้นตอนการรักษา

            - การประเมินก่อนการผ่าตัด: ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจการนอนหลับ (Polysomnography - PSG) และการส่องกล้องทางเดินหายใจขณะหลับที่ถูกกระตุ้นด้วยยา เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษา

            - การฝังอุปกรณ์: อุปกรณ์ UAS จะถูกฝังใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก โดยมีสายเชื่อมต่อกับเส้นประสาทไฮโปกลอสซัล

            - การเปิดใช้งาน: หลังจากการฟื้นตัวจากการผ่าตัด อุปกรณ์จะถูกเป็ดใช้งาน และปรับระดับการกระตุ้นตามความสบายและประสิทธิภาพในการรักษาของผู้ป่วย

ผลลัพธ์จากการรักษา

            การศึกษาทางคลินิกพบว่า UAS สามารถลดดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว (AHI) ได้อย่างมีนัยสำคัญ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยมีความพึงพอใจสูงและอาการง่วงนอนตอนกลางวันลดลง

          ข้อดีของการรักษาด้วย UAS คือ ไม่ต้องเสียเวลาพกพาและสวมใส่ CPAP หรือทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกวัน นอกจากนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าจากการผ่าตัดขากรรไกรหรือโครงสร้างทางกายวิภาค และมีความเสี่ยงต่ำจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ข้อควรพิจารณา

            การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และต้องทำภายใต้การดมยาสลบ โดยต้องผ่านการทำ sleep test และการส่องกล้องตรวจขณะหลับ (DISE) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิกการนอนหลับ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเวลาเครื่องทำงาน อาจเจ็บลิ้น หรือมีแผลด้านล่างของลิ้นซึ่งเกิดจากลิ้นเคลื่อนไหวสัมผัสกับฟันล่าง ซึ่งผลข้างเคียงนี้มักจะดีขึ้น หลังจากผู้ป่วยคุ้นเคยกับเครื่องและมีการปรับการกระตุ้นแล้ว, และอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัดเช่นเดียวกันการผ่าตัดอื่น ๆ ในบริเวณนี้ซึ่งพบได้น้อย ข้อควรระวังอื่น ๆ คือ ไม่ควรให้เครื่องมืออยู่ใกล้เครื่องมือที่สามารถปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้

การติดตามผลหลังการรักษา

            การติดตามผลหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของอุปกรณ์และปรับการตั้งค่าตามความต้องการของผู้ป่วย การติดตามผลมักจะดำเนินการที่ 6 และ 12 เดือนหลังการรักษา การศึกษาระยะยาวแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ที่ดีสามารถคงอยู่ได้ถึง 18 เดือนหลังการฝังอุปกรณ์ โดยมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่ำ

            สรุปได้ว่า หากมีข้อบ่งชี้ที่เหมาะสม การกระตุ้นทางเดินหายใจส่วนบน (UAS) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ CPAP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด