ไซนัสอักเสบ…..รักษาได้ ตอนที่ 2

ไซนัสอักเสบ…..รักษาได้ ตอนที่ 2

รศ.นพ.ปารยะ   อาศนะเสน
สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

            ลักษณะที่พบจากการตรวจร่างกายที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่ มีการกดเจ็บบริเวณไซนัสที่อักเสบ, เห็นน้ำมูกเหลืองข้นไหลลงคอ, เยื่อบุจมูกที่อักเสบบวมแดงมาก หรือมีหนองคลุม    ส่วนโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังนั้นมักจะไม่มีอาการกดเจ็บบริเวณไซนัส  การตรวจในช่องจมูกอาจพบน้ำมูกเหลืองในจมูกหรือโพรงหลังจมูก และเยื่อบุจมูกที่อักเสบบวมได้  
            การสืบค้นเพิ่มเติมที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบ ได้แก่ การส่งถ่ายภาพรังสีไซนัส  การส่งทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) บริเวณจมูกและไซนัส ซึ่งมีประโยชน์ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนของโรคไซนัสอักเสบ ผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันเป็นๆ หายๆหรือ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง และก่อนทำการผ่าตัดรักษาไซนัสอักเสบด้วยกล้องเอ็นโดสโคป  การใช้กล้องเอ็นโดสโคปส่องตรวจในโพรงจมูก ดูรูเปิดของไซนัสว่ามีหนองไหลออกมาหรือไม่ ก็มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยโรค    นอกจากนั้นการส่องกล้องยังช่วย เก็บสารคัดหลั่ง หรือหนอง เพื่อส่งตรวจหาเชื้อและความไวต่อยาต้านจุลชีพหาความผิดปกติทางกายวิภาคที่เป็นสาเหตุของโรคไซนัสอักเสบ และช่วยในการผ่าตัดโดยทำให้เห็นบริเวณที่ผ่าตัดชัดขึ้น และช่วยในการติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยด้วย

การรักษาโรคไซนัสอักเสบ
            จุดมุ่งหมายของการรักษาไซนัสอักเสบคือ บรรเทาอาการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และป้องกันภาวะแทรกซ้อน หรือการกลับเป็นซ้ำของโรค
หลักในการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ประกอบด้วย
            1. กำจัดเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ  โดยการให้ยาต้านจุลชีพ  เพื่อทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว   การเลือกชนิดของยาต้านจุลชีพขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ, การดำเนินโรคความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อนั้นๆ และ อุบัติการของการดื้อยา     ระยะเวลาของการให้ยาต้านจุลชีพนั้น  ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันควรให้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 10-14 วัน หรือให้จนผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแล้วให้ต่ออีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น     ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังควรให้ยาต้านจุลชีพเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์
            2. ทำให้การไหลเวียนของสารคัดหลั่งและอากาศภายในไซนัสดีขึ้น
            2.1 ยาหดหลอดเลือด ทำให้การบวมของเยื่อบุจมูกลดลงบรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้รูเปิดของไซนัสโล่งขึ้น  อาจให้ในรูปยาพ่นหรือยาหยอดจมูก หรือ ยารับประทาน หรือให้ร่วมกันทั้งสองชนิดก็ได้    สำหรับยาหดหลอดเลือดที่พ่นหรือหยอดจมูก ไม่ควรใช้นานกว่า 7 วัน เพราะจะทำให้เยื่อบุจมูกเสียได้   ส่วนยาหดหลอดเลือดชนิดรับประทาน  ควรระวังผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง  หัวใจเต้นเร็ว  นอนไม่หลับ  กระสับกระส่ายด้วย
            2.2 ยาสตีรอยด์พ่นจมูก อาจมีประโยชน์ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือ ไซนัสอักเสบเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะถ้ามีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือชนิดที่ไม่แพ้ร่วมด้วย ยาพ่นจมูกดังกล่าวจะช่วยลดการอักเสบในจมูก  ทำให้รูเปิดของไซนัส ที่มาเปิดในโพรงจมูกโล่งขึ้น  ช่วยให้การไหลเวียนของอากาศ  การระบายของสารคัดหลั่งหรือ หนองที่อยู่ภายในไซนัสดีขึ้น
            2.3 ยาต้านฮิสตะมีน ไม่แนะนำให้ใช้ ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นเก่าในผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ที่ไม่ได้มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย   เนื่องจากอาจทำให้น้ำมูกและสารคัดหลั่งแห้งและเหนียวได้ ในรายที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย  ควรเลือกใช้ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นใหม่  เนื่องจากมีผลข้างเคียงดังกล่าวค่อนข้างน้อย   
            2.4  ยาละลายมูกหรือเสมหะ ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิภาพของยาละลายมูกในการรักษาโรค ไซนัสอักเสบชัดเจน
            2.5 การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ  เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง  สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัสออก  เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง   ทำให้การพัดโบกของขนกวัดที่เยื่อบุจมูกดีขึ้น อาการต่างๆ ของผู้ป่วยจะดีขึ้นเร็ว 
            2.6 การสูดดมไอน้ำเดือด จะช่วยทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม  โล่ง  อาการคัดจมูกน้อยลง  อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะดีขึ้น   นอกจากนั้นยังทำให้การพ่นยาเข้าไปในจมูก มีประสิทธิภาพมากขึ้น  
            2.7 การผ่าตัด   ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ มักจะหายได้โดยการใช้ยาอย่างเต็มที่  ส่วนน้อยที่ต้องรับการผ่าตัด  ดังนั้นในการรักษาจึงพยายามใช้ยาอย่างเต็มที่ก่อน   การผ่าตัดเป็นการแก้ไขพยาธิสภาพที่ทำให้รูเปิดระหว่างโพรงจมูกและไซนัสอุดตัน

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด
            • ผู้ป่วยที่ต้องการเชื้อไปส่งตรวจหาชนิดและความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อ
            • ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยให้ยาอย่างเต็มที่แล้ว ผู้ป่วยไม่ดีขึ้น(ผู้ป่วยไซนัสอักเสบเฉียบพลันที่รักษาด้วยยาเต็มที่แล้วไม่หาย  ภายใน 3 – 4 สัปดาห์ หรือ ผู้ป่วยไซนัสอักเสบเรื้อรังที่รักษาด้วยยาเต็มที่แล้วไม่ได้ผล  ภายใน 4 – 6 สัปดาห์)  หรือมีการอักเสบเป็นซ้ำหลายๆ ครั้ง  
            ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก มีไข้ขึ้นสูง หรือมีภาวะแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ
            • ผู้ป่วยไซนัสอักเสบที่มีริดสีดวงจมูกร่วมด้วย
            • ผู้ป่วยไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา
            • ผู้ป่วยไซนัสอักเสบที่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางกายวิภาคภายในโพรงจมูก  ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันของรูเปิดไซนัส

            3. รักษาโรคหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไซนัสอักเสบ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้แก่
            3.1)   ความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย      ต้องแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้ดี จะได้มีภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยให้พักผ่อนให้เพียงพอ   รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ   เพื่อให้ความต้านทานโรคดีขึ้น โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อน้อยลง
            3.2)   เมื่อมีการติดเชื้อขึ้นในทางเดินหายใจส่วนบน  เช่น  เป็นหวัด  คออักเสบ  ต่อมทอนซิลอักเสบ  หรือฟันผุ   ต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็ว เพื่อไม่ให้การอักเสบนั้นลุกลามไปถึงไซนัสได้
            3.3)   ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือชนิดไม่แพ้  ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ให้ผู้ป่วยรู้จักวิธีปฏิบัติตัวและดูแลสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
            3.4)  ผู้ป่วยที่มีผนังกั้นช่องจมูกคด หรือมีความผิดปกติทางกายวิภาคอื่นๆในจมูก หรือมีริดสีดวงจมูก   ควรให้การรักษาด้วยยาหรือผ่าตัดให้เหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป

- มีต่อตอนที่ 3 -

 

 

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด